รีวิวสุสานหิ่งห้อย
สุสานหิ่งห้อย ดูอนิเมะออนไลน์
กำกับ อิซะโอะ ทะกะฮะตะ
บทภาพยนตร์ อิซะโอะ ทะกะฮะตะ
สร้างจาก สุสานหิ่งห้อย
โดย อะกิยุกิ โนะซะกะ
อำนวยการสร้าง โทะรุ ฮะระ
นักแสดงนำ สึโตะมุ ทะตุมิ
อะยะโนะ ชิไรชิ
โยะชิโกะ ชิโนะฮะระ
อะเกะมิ ยะมะงุชิ
กำกับภาพ โนะบุโอะ โคะยะมะ
ตัดต่อ ทะเกะชิ เซะยะมะ
ดนตรีประกอบ มิชิโอะ มะมิยะ
บริษัทผู้สร้าง
สตูดิโอจิบลิ
ผู้จัดจำหน่าย โทโฮ
วันฉาย 16 เมษายน ค.ศ. 1988
ความยาว 88 นาที
สุสานหิ่งห้อย (ญี่ปุ่น: 火垂るの墓; โรมาจิ: Hotaru no Haka) (อังกฤษ: Grave of the Fireflies) เป็นภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชันแนวโศกนาฎกรรมสงคราม ออกฉายในปี ค.ศ. 1988 ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นกึ่งอัตชีวประวัติของ อะคิยูกิ โนซากะ ผู้สูญเสียน้องสาวระหว่างสงคราม เขียนบทและกำกับโดยอิซะโอะ ทะคะฮะตะ สตูดิโอจิบลิถูกจ้างให้ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้โดยสำนักพิมพ์ชินโชฉะที่ตีพิมพ์เรื่องสั้นดังกล่าว
ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เสียงโดยทซึโตมุ ทัตซึมิ, อายาโนะ ชิราอิชิ, โยชิโกะ ชิโนฮาระ, และ อาเคมี ยามากุจิ ดำเนินเรื่องในเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น เป็นเรืองราวของสองพี่น้อง เซตะ และ เซ็ตสึโกะ ที่ต้องพยายามเอาชีวิตรอดในช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะสิ้นสุดลง
สุสานหิ่งห้อยได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ และได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อของภาพยนตร์สงครามที่ดีที่สุดตลอดกาล และยังถูกจัดให้เป็นผลงานแอนิเมชันชิ้นสำคัญจากประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
อนิเมะเรื่องหนึ่งมา ที่ชื่อว่า สุสานหิ่งห้อย หรือ Grave of the Fireflies ของค่าย Studio Ghibli เป็นเรื่องที่สื่อออกมาเกี่ยวกับการต่อต้านสงครามอย่างชัดเจน แต่ไม่ใช่แนวประท้วงอย่างที่ทุกคนเข้าใจนะ เรื่องนี้เป็นแนวสื่อถึงพิษภัยของสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชวนหดหู่ไปตาม ๆ กัน ถือว่าเป็นแนวดาร์กที่สุดเท่าที่ค่าย Studio Ghibli ทำออกมาเลยก็ว่าได้ เพราะส่วนใหญ่ค่ายนี้จะสร้างอนิเมะแนวเชิงแฟนตาซีหรือคอมเมดี้ที่ดูแล้วให้ควาเพลิดเพลินเสริมจินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ ตามที่ทุกคนเคยได้ดูกัน ไม่ว่าจะเป็น Spirited Away, The Wind Rises เป็นต้น ล้วนเป็นอนิเมะที่เคยได้รับรางวัลมาแล้วทั้งสิ้น รวมถึงเรื่องนี้ก็เช่นกัน เอาล่ะเดี๋ยวเราจะมารีวิวเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ทุกคนได้ลองวิเคราะห์ไปพร้อม ๆ กัน ต้องขอบอกก่อนว่ารีวิวนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนนะคะ ถ้าพร้อมแล้ว ตามกันมาเลย
โดยเรื่องนี้จะกล่าวถึงช่วงยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองโกเบ มีสองพี่น้องที่ชื่อว่าเซตะ เป็นพี่ชายอายุ 14 ปีและเซซึโก ผู้เป็นน้องสาวอายุ 4 ขวบทั้งสองกำลังขนเสบียงลงหลุมเพื่อมีอาหารเวลาสงครามสงบ ซึ่งเซตะบอกให้แม่ของเค้าไปที่หลุมหลบภัยก่อน เพราะแม่ของเค้าเป็นโรคหัวใจ และในเวลานั้นเครื่องบินของอีกฝ่ายในสงครามก็กำลังบินผ่านมายังเมืองที่ครอบครัวนี้อยู่ เพื่อปล่อยระเบิดครั้งที่รุนแรงกว่าที่ผ่านมา ทำให้แม่ของเค้าเสียชีวิตจากสงครามนี้ แล้วทั้งสองคนต้องเดินทางไปพักอาศัยอยู่กับป้า แต่ก็ไม่สามารถทนอยู่กับนิสัยของป้าได้ เพราะโดนเอารัดเอาเปรียบมากเกินไป พวกเขาจึงย้ายไปอยู่ที่เหมืองแร่เก่า ๆ แล้วพวกเขาจะมีชีวิตต่อไปยังไง และจะรอดพ้นจากสงครามที่โหดร้ายนี้ไปได้หรือไม่ ต้องไปติดตามที่สุสานหิงห้อยฉบับเต็มเรื่องได้เลยจ้า
รีวิวสุสานหิ่งห้อย เนื้อเรื่อง
เป็นเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่อาศัยอยู่ในเมืองโกเบประเทศญี่ปุ่นเหตุการณ์เกิดระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เซตะ โยโกกาวา ลูกชายคนแรกของนายพลทหารเรือ อายุ 14 ปี กำลังขนเสบียงลงหลุมเพื่อมีอาหารเวลาสงครามสงบ และในเวลานั้นเครื่องบินกำลังบินผ่านมายังเมืองเพื่อปล่อยระเบิดครั้งรุนแรงกว่าที่ผ่านมา เซตะจึงให้แม่ของตนออกเดินทางไปยังหลุมหลบภัยก่อน เนื่องจากแม่เป็นโรคหัวใจ โดยเซตะ และ น้องสาว เซซึโกะ อายุ 4 ขวบ จะตามไปทีหลัง ซึ่งระหว่างทางไปหลุมหลบภัย ระเบิดจากเครื่องบินของทหารอเมริกาถูกทิ้งลงมา ทำให้เซตะและเซซึโกะ พลัดหลงกับแม่ของพวกเขา ทำให้เซตะพาน้องสาวไปหลบภัยอยู่หลังเนินถนนสูงเป็นกำแพงหินริมทะเล ซึ่งภายหลังพวกเขาพบว่าบ้านของพวกเขาถูกไฟไหม้หมดทั้งหลัง และรอบๆบริเวณนั้นถูกทำลายทั้งหมด
สองพี่น้องพยายามตามหาแม่ มีคนมากบอกเซตะว่าแม่ของเขาบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตลงเนื่องจากถูกไฟลวก และเมื่อเวลาผ่านไปเซซึโกะถามหาแม่ของเขาแต่เซตะบ่ายเบียงไม่ยอมบอกและปกปิดน้องสาวของเขาไม่ให้รู้ว่าแม่ได้เสียชีวิตแล้ว และทั้งสองก็ได้ไปอยู่กับป้า ฮิซาโกะ ของพวกเขา ซึ่งป้าของเซตะถามถึงอาการปาดเจ็บของแม่ เซตะจึงต้องบอกความจริงไปว่าแม่ได้เสียชีวิตไปแล้ว และต่อมาพวกเขาก็ทนนิสัยป้าของเขาไม่ไหวจึงออกจากบ้านป้ามาทั้งสองคน ทั้งสองพี่น้องจึงไปอยู่ในเหมืองเก่าๆ ซึ่งในสมัยก่อนใช้เป็นที่หลบภัย ภายในเหมืองมีแสงสว่างน้อยมากทำให้เซซึโกะกลัวความมืด เมื่อเป็นเช่นนั้น เซตะพี่ชายจึงไปหาหิ่งห้อยมาปล่อยไว้มากมายทำให้มีแสงสว่างมากพอทำให้เซซึโกะไม่กลัว
และเมื่อเวลาผ่านไปนาน อาหารก็เริ่มหมด และไม่มีอาหารให้แลกแล้ว และเซซึโกะก็เริ่มมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ซึ่งเซซึโกะป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร และเมื่ออาหารหมด ทำให้เซตะต้องขโมยของตามบ้านเมื่อมีการทิ้งระเบิดของทหารอเมริกา ผู้คนมากมายกำลังหลบหนีระเบิดอยู่แต่เซตะกลับวิ่งฝ่าระเบิดเข้าไปตามบ้านคนที่ว่างเปล่าเพื่อเข้าไปหาของกินมาให้เซซึโกะ และนานวันเข้าอาการป่วยของเซซึโกะเริ่มมากขึ้น เซตะจึงพาน้องไปหาหมอแต่หมอก็ไม่มียารักษาให้ มีวันหนึ่งเซตะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปถอนเงินก้อนสุดท้ายเพื่อเอาออกมาใช้ และเขาก็ได้ข่าวว่าญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามแล้ว เรือทุกลำจมลงทะเลหมด จมไปพร้อมกับความหวังที่จะเห็นพ่อซึ่งเป็นทหารเรือกลับมาหาตนและน้อง
เมื่อเซตะกลับมาที่เหมือง เขาเห็นน้องสาวนอนอมลูกหินอยู่ซึ่งเซซึโกะคิดว่าป็นลูกอม เซตะจึงห้ามไม่ให้น้องสาวกินลูกหินอีก และเขาจึงไปเอาแตงโมมาป้อนให้เซซึโกะกินและปล่อยให้เซซึโกะนอนพัก เมื่อเห็นน้องสาวนอนพัก เซตะจึงไปทำอาหาร และตั้งแต่นั้นมา เซซึโกะก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกตลอดกาล ในคืนที่ฝนตกหนักและหนาวเย็นเซตะนอนกอดร่างไร้วิญญาณของน้องสาวเขาทั้งคืน และพอเช้าเซตะ ก็เผาร่างของเซซึโกะและนำเศษกระดูกมาใส่ในกล่องลูกอมและเซตะก็นำกล่องนั้นติดตัวไปตลอดจนกระทั่งเขาเสียชีวิตลงที่สถานีรถไฟในวันที่ 21 กันยายน ปี 1945
รูปแบบการเล่าเรื่อง
ในตอนเริ่มเรื่องและตอนจบของเรื่อง จะสื่อถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองซึ่งแม้จะเสียชีวิตไปทั้งสองคน แต่ทั้งคู่ก็เป็นวิญญาณและอยู่ด้วยกันตลอดไป หลังจากนั้น 1 เดือนหลังจากจบสงคราม จึงมีการกฎหมายบังคับใช้คุ้มครองเด็กที่ประสบในภาวะสงครามขึ้น ในเรื่องสุสานหิ่งห้อยนั้น จะเปรียบหิ่งห้อยที่มีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วัน เหมือนกับชีวิตเด็กๆที่อดอยากไม่มีกิน เนื่องจากผลจากการกระทำของสิ่งใดก็ตาม และยังเปรียบแสงของหิ่งห้อยเหมือนความหวังอันริบหรี่ของเด็กๆที่สุดท้ายความหวังอันนั้นก็ดับไปพร้อมก็แสงสว่างของหิ่งห้อยยามเมื่อมันตายลง
ความรู้สึกหลังดู
ส่วนตัวผู้เขียนให้คะแนนเรื่องนี้ไป 7 เต็ม 10 นะคะ เนื่องด้วยพระเอกกับน้องพระเอกมีการกระทำค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลเท่าไร จากเรื่อง ดูเหมือนพระเอกเล่นอยู่กับน้องทั้งวัน ไม่ยอมทำงานแบ่งเบาภาระป้า สื่อถึงว่าเป็นคนไม่มีมานะอดทน ใจร้อน หยิ่งผยองเกินไป ส่วนน้องพระเอกก็ดูเอาแต่ใจจนน่ารำคาญ คนอื่นเค้าลำบาก แต่ตัวเองต้องการกินสิ่งที่ตนเองต้องการ ดูแล้วรู้สึกขัดใจ แต่เรื่องนี้ก็ยังแฝงความสัมพันธ์ที่ดีของพี่น้องคู่นี้ได้ดี เป็นความรักบริสุทธิ์ที่พี่น้องมีให้กันระหว่างเหลือกันแค่ 2 คน ส่วนภาพทำออกมาได้ดี ดูแล้วรู้สึกหดหู่ สงครามไม่มีผลดีเลยจริง ๆ โดยทางผู้เขียนจะสื่อถึงพิษภัยของสงคราม ไม่ได้ช่วยให้ใครดีขึ้นเลย ซึ่งหนังดัดแปลงมาจากหนังสืออัตชีวประวัติของ อะคิยูกิ โนซากะ ผู้สูญเสียน้องสาวตัวน้อยๆ ด้วยสาเหตุจากการขาดอาหารระหว่างสงคราม อิงจากคนจริง ๆ ในสมัยนั้น สุดท้ายคนเสียชีวิตจากสงคราม ส่วนใหญ่ล้วนจะขาดสารอาหารทั้งสิ้น หรือไม่ก็พิการตลอดชีวิต คิดแล้วรู้เศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ โดยรวมแล้วเป็นอีกเรื่องอยากแนะนำให้ลองไปดูกันนะคะ ถึงดาร์กแต่ข้อดี ๆ จากเรื่องนี้เพียบเลยจ้า ไม่ว่าจะเป็นความเห็นแก่ตัว ความอดอยาก เป็นต้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย Isao Takahata ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Ghibli Studio ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นแหล่งสร้างแอนิเมชั่นญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อนร่วมงานของเขาคือฮายาโอะ มิยาซากิ (“Princess Mononoke,” “Kiki’s Delivery Service,” “My Neighbor Totoro”) ภาพยนตร์ของเขามักจะไม่ซีเรียสขนาดนี้ แต่ “หลุมฝังศพของหิ่งห้อย” อยู่ในหมวดหมู่ด้วยตัวของมันเอง อิงจากนวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติของ Nosaka Akiyuki ซึ่งเป็นเด็กผู้ชายตอนที่เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งน้องสาวของเธอเสียชีวิตจากความหิวโหยและชีวิตของเขาถูกบดบังด้วยความรู้สึกผิด
หนังสือเล่มนี้เป็นที่รู้จักกันดีในญี่ปุ่น และอาจสร้างแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์คนแสดง ไม่ใช่วัสดุทั่วไปของแอนิเมชั่น แต่สำหรับ “Grave of the Fireflies” ฉันคิดว่าแอนิเมชั่นเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม การแสดงสดจะต้องแบกรับน้ำหนักของเอฟเฟกต์พิเศษ ความรุนแรง และการกระทำ แอนิเมชั่นช่วยให้ทาคาฮาตะจดจ่ออยู่กับแก่นแท้ของเรื่องราว และการขาดความสมจริงของภาพในตัวละครแอนิเมชั่นของเขาทำให้จินตนาการของเราเล่นได้มากขึ้น เป็นอิสระจากข้อเท็จจริงตามตัวอักษรของนักแสดงจริง เราสามารถรวมตัวละครกับความสัมพันธ์ของเราเองได้ง่ายขึ้น
แอนิเมชั่นฮอลลีวูดไล่ตามอุดมคติของ คนที่วาดไม่เหมือนคนถูกถ่ายรูป พวกมันดูเก๋ไก๋กว่า เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนกว่า และ (ดังที่ดิสนีย์ค้นพบในการทดลองที่อุตสาหะ) การเคลื่อนไหวของพวกมันอาจเกินจริงเพื่อสื่อสารอารมณ์ผ่านภาษากาย “Grave of the Fireflies” ไม่ได้พยายามแม้แต่ความสมจริงของ “The Lion King” หรือ “Princess Mononoke” แต่กลับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่สมจริงที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาในด้านความรู้สึก
สถานที่และภูมิหลังต่างๆ ถูกวาดขึ้นในรูปแบบที่สืบเนื่องมาจากศิลปินชาวญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 18 Hiroshige และ Herge ซึ่งเป็นศิษย์สมัยใหม่ของเขา (ผู้สร้าง Tin Tin) มีความสวยงามในตัวพวกเขา ไม่ใช่ความงามของการ์ตูน แต่เป็นการวาดภาพทิวทัศน์ที่ชวนให้นึกถึง ซึ่งใส่ผ่านตัวกรองของสไตล์แอนิเมชัน ตัวละครเป็นแบบอย่างของแอนิเมชั่นญี่ปุ่นสมัยใหม่ ด้วยตาโต ร่างกายเหมือนเด็ก และมีลักษณะเป็นพลาสติกที่ดี (ปากมีขนาดเล็กเมื่อปิด แต่ยิ่งใหญ่เมื่อเปิดด้วยเสียงร้องของเด็ก – เราเห็นแม้กระทั่งต่อมทอนซิลของ Setsuko) ภาพยนตร์เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า หากจำเป็นต้องพิสูจน์ แอนิเมชั่นสร้างเอฟเฟกต์ทางอารมณ์ไม่ใช่โดยการสร้างความเป็นจริงขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยการทำให้สูงขึ้นและทำให้ง่ายขึ้น ดังนั้นลำดับหลายๆ อย่างจึงเกี่ยวกับแนวคิด ไม่ใช่ประสบการณ์