รีวิว ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน เดอะมูวี่ 23 ศึกชิงอัญมณีสีคราม
หวนกลับมาเกือบครบรอบปีซะที สำหรับ โคนัน เดอะมูวี่ 23 ที่ผมเฝ้ารอมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ตัวอย่างออกมาใหม่ ๆ แล้ว
ด้วยความพิเศษของภาคนี้คือ การใช้ฉากในต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้สิงคโปร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี่แหล่ะครับ เป็นลานประลองให้ตัวละครมาประมือกันบนดินแดนแห่งสิงโต ที่มีเจ้าเด็กแว่นโผล่มา ก็ย่อมต้องเกิดเรื่องระทึกขวัญ สั่นประสาท ชวนให้ติดตาม ซึ่งผมในฐานะที่ตามดูมาตลอดทั้ง 23 ภาค ผมมองว่าการที่โคนันจะไปในทางเน้นฉากแอ็คชั่นเนี่ย ก็เป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว
ต้องอธิบายก่อนนะครับว่า เนื้อเรื่องในเดอะมูฟวี่นั้น ไม่ใช่เส้นเรื่องหลักของยอดนักสืบจิ๋วโคนันนะครับ เช่นเดียวกับทีวีซีรีส์บางตอนก็เป็นเรื่องที่ใส่เข้ามาโดยทีมงาน หาได้เป็น อ. อาโอยาม่า โกโช ผู้เขียนมังงะแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้วถ้าถามหาเส้นเรื่องหลักต่าง ๆ ในเดอะมูฟวี่ก็คงต้องบอกตามตรงว่า ไม่มีเลยครับ เพราะทั้งหมดทั้งมวลนั้น ต้องติดตามในทีวีซีรีส์หรือมังงะเอาดีกว่า เพราะเรามาดูเดอะมูฟวี่ ก็เพื่อความสนุกสุดระห่ำ โดยไม่ต้องสนใจ ตรรกะ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ (ไปนู่นเลย) แต่ก็มีบ้างที่จะหยิบเหตุการณ์จากทีวีซีรีส์บางตอนมาช่วยอธิบายเหตุการณ์หรือความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามันก็คงไม่ได้สัมพันธ์กันกับเนื้อเรื่องมากสักเท่าไหร่
นี่คือเดอะมูฟวี่ เพราะงั้นจะโม้อะไรก็คงไม่ใช่เรื่องที่ทำลายความเป็นโคนัน อย่างที่ใครหลายคนบอกไว้หรอกครับ
เอาล่ะ ไม่ให้เป็นที่เสียเวลา ขอเล่าเรื่องย่อคร่าว ๆ ก่อนกันเลยนะ
เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นในสิงคโปร์ ในที่เกิดเหตุมีสาสน์ท้าเตือนของคิดเปื้อนเลือดติดอยู่ พร้อมกับเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นไล่เลี่ย ทำให้โคนันนั้นถูกลักพาตัวมาที่สิงคโปร์ เพื่อช่วยเหลือจอมโจรคิดที่พยายามจะลักลอบชิงอัญมณี “กำปั้นสีน้ำเงิน” ที่ใครหลายคนหมายตาไว้ แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะยังมีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดรออยู่ด้วย นั่นคือ เคียวโกขุ มาโคโตะ “ยอดนักคาราเต้ไร้พ่ายสี่ร้อยศึก” แฟนหนุ่มของโซโนโกะที่มาร่วมการแข่งขันคาราเต้พอดี แล้วพวกเขาจะสามารถขโมยอัญมณีสีครามได้หรือไม่ล่ะเนี่ย?
ภาคนี้ใช้สถานที่จริงในสิงคโปร์เป็นตัวเดินเรื่อง อย่าง มารีน่า เบย์ แซนดส์ เป็นต้น
ในภาคนี้จะมีความแตกต่างจากภาคที่แล้ว ๆ มาอย่างสิ้นเชิง ที่จะเดินเรื่องในพื้นที่ของเกาะญี่ปุ่น เพราะสถานที่หลักของเรื่องนี้ คือเกาะสิงคโปร์ ทางใต้ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใกล้กับประเทศไทยนี่เอง ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นประเทศที่ทั้งสะอาด และ ปลอดภัยที่สุดในโลก ซึ่งนี่หรือเปล่าที่ทำให้อาจารย์โกโช เลือกสถานที่นี่เป็นหลัก เพราะจะได้สร้างความวุ่นวายได้อย่างจุใจ (เอาง่าย ๆ เตรียมไว้อาลัยให้สถานที่เหล่านี้ล่วงหน้าเลยครับ5555) ตลอดทั้งเรื่อง
เราจะได้เห็นตัวละครอยู่ในสถานที่จริงของสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็น เมอร์ไลอ้อน, มารีน่า เบย์ แซนดส์, โรงแรมราฟเฟิล หรือแม้แต่ท่าเรืออ่าวสิงคโปร์ ต่างก็เป็นสถานที่สำคัญที่ถูกเสนอออกมาได้อย่างสวยงาม และสมจริง ทั้งยังแสดงวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ด้วย ไหนจะเป็นงานภาพที่สวยงามตามแบบของโคนัน และรอบนี้อาจจะมีสไตล์ที่อาจจะแปลกจากภาคก่อน ๆ บ้าง ซึ่งให้อารมณ์เหมือนการ์ตูนต่อสู้ลูกผู้ชายยังไงยังงั้นเลยล่ะ
ใครที่ได้ไปสิงคโปร์มาก่อน คงจะชื่นชมกับส่วนนี้ไม่น้อย และใครที่ไม่เคยได้ไป ก็อาจจะอยากตีตั๋วไปซะเดี๋ยวนั้นตอนที่ดูภาพยนตร์จบเลยก็ได้ (รวมผมด้วยคนนึง555) ทำให้สิงคโปร์เป็นตัวละครสำคัญที่สุดของภาคนี้เลยครับ
รีวิว ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน เดอะมูวี่ 23 ศึกชิงอัญมณีสีคราม เรื่องย่อ
“กำปั้นสีน้ำเงิน” บลูแซฟไฟร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งจมอยู่ในทะเลแถบสิงคโปร์พร้อมกับเรือโจรสลัดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้ถูกมหาเศรษฐีท้องถิ่นเก็บกู้ขึ้นมา และนำมาอวดโฉมต่อหน้าสาธารณชน แต่กลับเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นที่มารีน่าเบย์แซนด์ส โดยในที่เกิดเหตุนั้นมีสาส์นเตือนของจอมโจรคิดที่เปื้อนเลือดตกอยู่… ขณะเดียวกัน รันกับโซโนโกะก็เดินทางมาชมการแข่งขันคาราเต้ที่จัดขึ้นที่สิงคโปร์พอดี ส่วนโคนันเดินทางออกนอกประเทศไม่ได้เนื่องจากไม่มีพาสปอร์ต จึงต้องอยู่เฝ้าบ้าน แต่จอมโจรคิดต้องการใช้ประโยชน์จากโคนัน จึงใช้มายากลหลอกล่อพาตัวโคนันมายังสิงคโปร์ แถมยังจับเขาแปลงโฉมใหม่พร้อมกับยึดแว่นตา นาฬิกาข้อมือ และเสื้อผ้าไปหมดอีกด้วย หากไม่ยอมทำตามที่คิดบอก โคนันก็จะไม่สามารถกลับญี่ปุ่นได้ เมื่อถูกรันถามชื่อโดยที่ดูไม่ออกว่าคนที่เธอถามเป็นใคร โคนันจึงโมเมตอบไปว่าชื่ออาเธอร์ ฮิราอิ (!?) ต่อมาคิดก็ได้รับข้อมูลว่าบลูแซฟไฟร์หลับใหลอยู่ในตู้เซฟใต้ดินของคฤหาสน์แห่งหนึ่ง ทีแรกนึกว่าลักลอบเข้ามาได้ง่ายๆ แต่แท้จริงแล้วที่นั่นมีกับดักสุดแสนอันตรายรอคิดอยู่ นั่นคือการเผชิญหน้ากับเคียวโกขุ มาโคโตะ นักคาราเต้สุดแกร่งผู้ไร้พ่าย 400 นัด ชะตากรรมของคิดจะเป็นเช่นไร…!? และน้ำสีแดงฉานที่ถูกปล่อยออกมาจากปากเมอร์ไลอ้อน สัญลักษณ์ของสิงคโปร์ ก็ราวกับเป็นลางบอกเหตุร้ายบางอย่าง!
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของภาคนี้จะกล่าวถึงอัญมณีสีคราม ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด และยังเป็นสิ่งที่จอมโจรคิดต้องการมาครอบครอง แต่เพราะทำไมนั้น ไม่บอกหรอกครับ ตัวเรื่องจะเล่าเป็นเส้นตรงสลับกับแฟลชแบล็คบ้างช่วง นอกจากจะเน้นไปที่จอมโจรคิดกับโคนัน สองคู่หูจำเป็นที่ต้องร่วมมือกันไขคดีปริศนาบนเกาะนอกญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกแล้ว ยังมีเคียวโกขุ มาโคโตะ แฟนหนุ่มของโซโนโกะ เจ้าของฉายา “ยอดนักคาราเต้ไร้พ่ายสี่ร้อยศึก” ที่เข้ามาเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ ในเดอะมูฟวี่ครั้งแรกหลังจากออกมาแว้บ ๆ ในภาค 21 ปริศนาเพลงกลอนซ่อนรัก และจะเข้ามาเป็นตัวแปรของเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย ยิ่งทวีความวุ่นวายขึ้นอีก
ไม่ได้หมดเพียงแค่นั้น เพราะตัวละครใหม่ ๆ มาแก้เกมไปมาระหว่างกันทางจิตวิทยาอย่างดุเดือดเลือดพล่าน เรียกได้ว่าเป็นภาคที่เฉือนคมกันไปมาพอสมควร แต่อาจจะไม่ได้เยอะขนาดนั้น แต่ก็ทำให้ลุ้นตามได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังแทรกมุขตลกที่ใครได้ดูเป็นได้ขำครืนแน่ ๆ ยิ่งคนที่ตามโคนันมาช่วงหลัง ๆ จะเข้าใจมุขได้ไม่ยาก หรือคนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้เช่นกันแม้จะไม่เคยติดตามโคนันมาก็ตาม ไหนจะเส้นเรื่องของความรักในตัวละครแม้จะมีไม่มากนัก แต่ก็ทำให้ผู้ชมเขินตามได้เช่นเดียวกัน ฉากไหนน่ะเหรอ ไม่บอกหรอกครับ5555
ในส่วนของคดีนี้ก็ถือว่าทำออกมาใช้ได้ อาจจะไม่ได้คาดเดาง่ายจนน่าเบื่อ ไม่ได้เดายากจนต้องกุมขมับ แต่ก็ทำให้ประหลาดใจได้พอสมควร ทริคของคนร้ายในคดีนี้ก็มีข้ออธิบายอย่างน่าเหมาะสมไม่ยืดเยื้อจนเกินไป ส่วนที่ดีในพาร์ทคดีหรือการสืบสวนคือ มีการแสดงถึงความคิดของตัวละครในเรื่องที่ใช้ในการไขคดี ซึ่งพัฒนาขึ้นมาจากภาคก่อนมาก ทำให้คนดูสามารถร่วมไขคดี และคิดตามได้ แต่ยังไงก็ตามก็อาจจะไม่ทั้งหมด ทั้งมูลเหตุจูงใจในการก่อคดีก็สมเหตุสมผล แต่ก็อาจจะเล่นใหญ่ไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เรื่องตื่นเต้นขึ้นด้วย
แต่ส่วนที่เป็นไฮไลท์แล้วไม่พูดถึงเลยก็คือ ส่วนของฉากไคลแมกซ์ หรือที่ผมจะเรียกว่า “ฉากบื้มบ้าม” ซึ่งมีเป็นธรรมเนียมของทุกภาคไปซะแล้ว เป็นฉากที่จะต้องทึ่งและอึ้งแน่นอน เพราะมันคือความสนุกระดับที่ว่าไม่ต้องสนใจความสมจริง หรือคำอธิบายใด ๆ เพราะปีนึงจะมีโอกาสที่โคนันจะได้มาโลดแล่นอย่างอลังการณ์ขนาดนี้ ไหนจะฉากโชว์ศิลปะการต่อสู้กันถ้วนหน้าของตัวละคร เรียกว่ามีเท่าไหร่ ใส่กันไม่ยั้งครับ แต่สำหรับคนที่ดูมาตลอดอาจจะรู้สึกเฉย ๆ ก็ได้ เพราะมันก็เป็นรูปแบบที่ใช้กันมาเยอะแล้วในหลาย ๆ ภาคก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังคุ้มค่าที่จะไปเห็นกับตาในโรงครับ
ตัวละคร
ตัวละครแต่ละตัวต่างก็ออกมาสร้างเสียงหัวเราะ อมยิ้ม สงสัยให้ตลอดทั้งเรื่อง ว่าใครจะมีโอกาสเป็นคนร้ายในคดีนี้ สลับการมองความสัมพันธ์ที่ตัวละครที่มีเคมีระหว่างกัน และค่อย ๆ แสดงออกมาอย่างไม่น่าเบื่อ แต่เสียดายบางตัวละครในเรื่องที่ออกมาเหมือนจะมีบทบาทสำคัญต่อเนื้อเรื่อง กลับออกมาแค่ไม่กี่ฉาก ซึ่งก็เข้าใจว่าต้องมอบซีนให้กับตัวละครอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
สิ่งสำคัญที่สะกดคนดูไว้ คือเพลงประกอบของภาพยนตร์ภาคนี้ ทั้งเพลงเปิดอันคุ้นเคยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะภาค หรือดนตรีชวนระทึกตื่นเต้น เร้าใจ หรือจะเป็นบทเพลงคลาสสิคอย่าง Clair De Lune ที่บรรเลงในฉากที่สะกดคนดู หรือ แม้แต่เพลงประกอบตอนท้ายอย่าง BLUE SAPPHIRE ที่ขับร้องโดย ฮิโรโอมิ โทซากะ หนุ่มหล่อจากวง J Soul Brothers from EXILE TRIBE ที่มาถ่ายทอดเสียงอันน่าหลงใหลให้กับภาพยนตร์ภาคที่ 23 นี้ ซึ่งมีการทำซับแปลไทยไว้ รับรองว่าใครที่ดูจบแล้วต้องอยากโหลดเก็บมาฟังกันแน่ ๆ ซึ่งผมเองก็ทำซับเพลงนี้ไว้ตั้งแต่เพลงออกมาใหม่ ๆ ซึ่งทางไทก้าก็ได้แปลออกมาอย่างน่าพอใจครับ ส่วนข้างล่างนี้ เผื่อคนอยากเข้าใจความหมายครับ
สรุป
ต้องไปดูอย่างเดียวเท่านั้น เป็นเดอะมูฟวี่ที่คงความอลังการงานสร้าง และยังเป็นครั้งแรกของภาพยนตร์ที่ไปสืบคดีกันไกลถึงประเทศสิงคโปร์ ผสมผสานกับมุขตลก และปริศนาที่ไม่อาจคลาดสายตาได้
จุดเด่น
ฉากแอ็คชั่นตระการตา พร้อมเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม
ตัวละครในเรื่องต่างมีเสน่ห์และออกมาสร้างสีสัน
มีมุกตลกชวนให้ขำ สลับกับความฟินของความสัมพันธ์ตัวละคร
ฉากสิงคโปร์ และงานภาพที่สวยงาม จะดึงดูดให้อยากไปตามรอยสถานที่ในเรื่องแน่นอน
มีหลากรส ทั้งตลก สยองขวัญ บู๊ สืบสวน ในเรื่องเดียว
จุดด้อย
ตัวละครบางตัวไม่ได้จำเป็นกับเรื่องราวมากนัก
ช่วงท้ายอาจจะไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่
นี่เป็นโคนันเดอะมูวี่ภาคที่สนุก และรักษามาตรฐานความอลังการได้แบบเดิม เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่น การแก้ไขปริศนา เพลงบรรเลงที่ดี อารมณ์ฮา เขิน ตกใจ แถมยังได้เห็นทัศนียภาพสวย ๆ ของสิงคโปร์ผ่านการ์ตูนโคนันเองด้วย เรียกได้ว่า สมกับเป็นเดอะมูฟวี่สุดคุ้มที่ปิดฉากยุคเฮเซ เพื่อก้าวสู่ยุคเรวะได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่สำหรับคนที่ดูมาหลายภาคแล้ว อาจจะรู้สึกเฉย ๆ แต่ก็สมควรไปดูในโรงภาพยนตร์ เพราะเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ครับ