รีวิว สงครามอสูรเหล็ก: สมรภูมิมืด

 

หากพูดถึงภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นไซไฟ   การ์ตูนอนิเมะผู้ชาย เชื่อว่าไม่มีใครคงไม่รู้จัก Pacific Rim เรื่องราวของการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์โลกระหว่างหุ่นยนต์ยักษ์นามว่า “เยเกอร์” กับสัตว์ประหลาดที่ต้องการยึดครองโลกนามว่า “ไคจู” ในปัจจุบันได้ผลิตออกมาเป็นภาพยนตร์แล้ว จำนวน 2 ภาคด้วยกัน ดูอนิเมะ ซึ่งภาคล่าสุดฉายในปี 2018 ที่ผ่านมา การกลับมาในครั้งนี้คงทำให้แฟนๆ หนังเรื่องนี้ได้หายคิดถึงกัน โดยที่นำมาทำเป็นแอนิเมชันดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ ซึ่งขณะนี้กำลังฉายอยู่บน Netflix ด้วยความปังขนาดนี้ทำให้ติด TOP 1 ใน 10 ไปแล้วในหลายประเทศ เชื่อว่าอีกไม่นานต้องติดอันดับของไทยแน่ๆอนิเมะญี่ปุ่น

รีวิว สงครามอสูรเหล็ก: สมรภูมิมืด ข้อมูลทั่วไป

 

รีวิว สงครามอสูรเหล็ก: สมรภูมิมืด ชื่อเรื่อง : Pacific Rim: The Black (สงครามอสูรเหล็ก: สมรภูมิมืด)

ประเภท : อะนิเมะแอ็คชั่น , อะนิเมะไซไฟแฟนตาซี

วันที่เข้าฉาย : 4 มีนาคม 2021

จำนวนตอน : ซีซั่น 1 จำนวน 7 ตอน อนิเมะญี่ปุ่น

ความยาว : 20-28 นาที/ตอน

เสียงพากย์ : อังกฤษ (ต้นฉบับ) , ไทย และญี่ปุ่น

คำบรรยาย : อังกฤษ (CC) , ไทย ,จีนตัวย่อ และจีนตัวเต็ม

ช่องทางรับชม : Netflix

ผู้สร้างแอนิเมชัน : Polygon Pictures

 

รีวิว สงครามอสูรเหล็ก: สมรภูมิมืด

 

 

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 อนิเมะสัญชาติอนิเมะสัญชาติอเมริกันอย่าง Pacific Rim The Black (ชื่อไทย : สงครามอสูรเหล็ก สมรภูมิมืด) ได้ถูกปล่อยออกมาเฉิดฉายบนจอสตรีมมิ่งอย่าง Netflix โดยเป็นที่จับจ้งของใครหลายๆคนเพราะอ้างอิงมาจากภาพยนตร์เรื่อง Pacific Rim ภาคแรก ซึ่งแฟนๆหลายคนคาดหวังกับนิเมะเรื่องนี้พอสมควร

 

Pacific Rim The Black สงครามอสูรเหล็ก สมรภูมิมืด อนิเมะ Netflix ที่นำแปซิฟิคริมหนังดังที่เจ๊งหมดโอกาสทำต่อไปแล้วกลับมาปลุกชีพใหม่ เป็นเรื่องราวบทใหม่สไตล์อนิเมะญี่ปุ่น แต่ยังคงพยายามให้ได้กลิ่นอายของแปซิฟิกริมดั้งเดิมไว้อยู่

 

 

เรามาทำความรู้จักกับกับอนิเมะเรื่องนี้คร่าวๆกันกีกว่า Pacific Rim The Black สงครามอสูรเหล็ก สมรภูมิมืด เป็นอนิเมะแนวแอ็คชั่น ไซไฟ แฟนตาซี ที่มีทั้งหมด 7 ตอน เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในออสเตรเลียหลังจากถูกอสูรกายยักษ์สุดโหดร้ายอย่างไคจูทำลายร้างเมืองและยึดครองเอาไว้ จนทั้งทวีปกลายเป็นทวีปล้าง แม้มีเหล่าหุ่นยนตร์เยเกอร์ออกมาทำการต่อสู้ขัดขวางก็ไม่ทำให้ไคจูทั้งหลายสะทกสะท้าน

 

รีวิว สงครามอสูรเหล็ก: สมรภูมิมืด

เนื้อเรื่อง

 

อนิเมะที่ต่อยอดจากหนังแปซิฟิคริมมาเป็นภาคแยกเส้นเรื่องใหม่ โดยมีเรื่องราวเชื่อมโยงกับภาคแรกปะปนอยู่ (ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาค 2) เมื่อฝูงไคจูปรากฎตัวอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นออสเตรเลีย และรอยแยกปรากฎบนผิวดินแทนใต้ทะเล พี่น้องเทย์เลอร์และเฮย์ลี เด็กน้อยที่มีพ่อกับแม่เป็นนักขับเยเกอร์ที่ออกไปต่อสู้กับไคจูแล้วไม่กลับมา จนเวลาผ่านไปพวกเขาเติบโตขึ้นและบังเอิญได้พบกับหุ่นเยเกอร์สำหรับฝึกหัดที่ถูกทิ้งไว้ในฐานแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงขับเยเกอร์ออกเดินทางตามหาพ่อแม่ที่หายสาบสูญไป

 

ความรู้สึกหลังดู

ต้องบอกว่าที่อเนิเมะแปซิฟิคริมเรื่องนี้ถูกนำมาสร้างได้อีกครั้ง หลังจากหนังภาคสองที่ได้ทุนจากจีนมาช่วยถือว่าล้มเหลว ทำรายได้ไปเพียง 290 ล้านทั่วโลกจากทุนสร้างเกิน 150 ล้าน และเชื่อว่าแฟนแปซิฟิกริมเองก็ไม่ได้อยากจะจดจำภาคสองไว้เลยด้วย เพราะนอกจากจะขาดเสน่ห์ในแบบภาคแรกที่มีหลายอย่าง ตัวละครหลักในภาคแรกก็ถูกตัดหายหรือนำมาฆ่าทิ้งกันง่ายๆ จนแทบไม่เหลืออะไรดีงามในภาค 2 เลย แต่ทุกคนก็ยังอยากดูเรื่องราวของไคจูกับเยเกอร์อยู่อีกจากเสน่ห์กลิ่นอายของภาคแรกที่ทำออกมาได้ดีจริงๆ ดังนั้นในอนิเมะเรื่องนี้จึงพยายามจะนำสิ่งเหล่านั้นกลับมา พร้อมทั้งเชื่อมต่อเรื่องราวหากันโดยตรงอีกด้วย

 

เรื่องราวในภาคนี้ตอนแรกไม่ได้มีบอกช่วงเวลาใดๆ เลย แต่เรารู้ว่าน่าจะเป็นช่วงหลังจากจบภาคแรก โดยไม่มีภาคสองมาเกี่ยวเพราะเทคโนโลยีในเรื่องยังเทียบเคียงพอๆ กับภาคแรกอยู่ ไคจูที่ปรากฎตัวในภาคนี้ก็อยู่ที่ระดับ 3-4 พอๆ กับภาคแรก (ภาคสองเว่อร์เกินไปหลายระดับมาก) โดยเดินเรื่องผ่านการเดินทางไปเรื่อยๆ ของพี่น้องตัวเอกคู่นี้ โดยมีไคจูคู่ปรับระดับ 4 ตามราวีตลอดเรื่องเป็นช่วงๆ เหตุที่สู้กันไม่จบก็เพราะหุ่นที่พวกเขาใช้ไม่มีอาวุธ เลยต้องต่อยกันดุ้นๆ ทำให้ไคจูตัวนี้ไม่ตายสักที ฉากแอ็กชั่นจึงไม่ได้มีอะไรมาเร้ามากตามไปด้วย เรียกว่าดูแบบจืดๆ ไม่ได้สนุกมันส์อะไรมาก ดนตรีประกอบก็ไม่ได้นำที่ติดหูจากภาคแรกมาใช้ด้วย ซึ่งทำให้เสน่ห์ของเรื่องดั้งเดิมหดหายไปมากทีเดียว มีแค่ตอนประสานเข้ากับเยเกอร์ที่ยังพอทำให้รู้สึกแบบนั้นได้เท่านั้น

 

 

รีวิว สงครามอสูรเหล็ก: สมรภูมิมืด

 

 

เมื่อถึงช่วงกลางเรื่องจะเผยให้เห็นจุดเชื่อมโยงกับตัวละครนักขับเยเกอร์ภาคแรก ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเซอร์วิสแฟนๆ ได้นิดนึง เพราะเอาจริงๆ ก็แค่หยิบชื่อกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาใช้กับตัวละครใหม่ ว่ามีฝีมือถึงขั้นสูงเท่าตัวละครในภาคแรก แม้จะเป็นเด็กวัยรุ่นทั้งเรื่องตามสูตรอนิเมะญี่ปุ่นอันนี้เราไม่ว่ากัน เพราะเรื่องก็พยายามปูแล้วว่าตัวเอกเทย์เลอร์เป็นนักขับที่สอบผ่านการควบคุมมาแล้วสมัยที่พ่อแม่กับแม่ยังอยู่ แต่ยังไม่มีหุ่นเป็นของตัวเองเท่านั้น ส่วนน้องสาวเฮย์ลีก็อาศัยกฎที่ว่านักขับเยเกอร์สองคนต้องประสานซิงโครทางความทรงจำให้ได้ 100% ถึงจะขับ พอเป็นพี่น้องกันก็เลยสามารถขับหุ่นเยเกอร์ได้เลย และในเรื่องนี้ก็มีคนอื่นที่ขับเยเกอร์ได้อีกปรากฎออกมา พร้อมกับนำเรื่องปมความทรงจำเจ็บปวดที่ซ่อนไว้แต่ต้องเปิดเผยให้คู่ขาขับหุ่นรู้มาใช้ตามแบบภาคแรก  สงครามอสูรเหล็ก สมรภูมิมืด ภาค 1

แต่เรื่องมีจุดสำคัญเชื่อมโยงกับตอนจบภาคแรกเพิ่มมาในตอนท้าย EP 6 (มี 7 EP จบซีซั่นแรก) ซึ่งจุดนี้เป็นอะไรที่ไม่เข้าท่ามาก จนทำให้เรื่องดูกลายเป็นสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นจ๋า แบบเด็กน้อยมีพลังลึกลับยิ่งใหญ่ กับหุ่นเยเกอร์ที่ได้อิทธิพลมาจากอีวานแกเลี่ยนโหมดคลั่งเต็มๆ ซึ่งมุกนี้มันเก่าแล้ว และก็ทำให้เรื่องดูออกทะเลไปในทันที อีกทั้งยังเอาแนวทางเกมร็อคแมนเปลี่ยนแขนที่ขาดก็ได้อาวุธใหม่มาใช้อีก ซึ่งมันดูง่ายเกินไป แถมที่มาของอาวุธก็ออกจะตลกมาก เรียกว่าพอมาถึงจุดนี้เรื่องราวกลายเป็นแนวการ์ตูนญี่ปุ่นทั่วไปโม้แตกที่นึกอยากให้มีอะไรก็มีไปแล้ว และในตอนต่อมาเรื่องก็เละเทะขึ้นไปอีกจริงๆ แบบกู่ไม่กลับ แม้จะมีฉากต่อสู้ไคลแม็กซ์กับไคจูตัวร้ายที่ตามมาตลอดที่คราวนี้พระเอกมีเยเกอร์ติดอาวุธแล้ว ซึ่งก็โอเคได้อารมณ์สนุกกว่าช่วงแรกที่ไม่มีอาวุธ แต่กลับมีตัวละครเว่อร์ๆ มาร่วมวงเพิ่มด้วยอีก พร้อมกับเหตุผลในตอนจบที่ฟังแล้วส่ายหน้าจริงๆ เชื่อเลยว่าแปซิฟิกริมภาคนี้ถ้าทำต่อไปก็คงเละเทะไม่ต่างอะไรจากภาค 2 เป็นแน่แท้ (แต่ก็คงตามดูอยู่ดี) แต่ที่จริงเรื่องนี้ก็ส่อแววออกทะเลตั้งแต่ตอนแรกแล้วที่มีหมาไคจูปรากฎขึ้นมาไล่ตามตัวเอกในเมืองร้าง ให้ความรู้สึกเหมือนหมาใน Resident Evil แบบชัดเจน แต่ช่วงนั้นมีแค่สั้นๆ แล้วก็ไม่มีหมาพวกนี้โผล่มาอีกจนตอนจบถึงโผล่มาอีกครั้ง

 

 

 

 

ในเรื่องยังมีตัวละครแบบพ่อค้าทำธุรกิจจัดหาชิ้นส่วนไคจูเหมือนภาคแรกอยู่ ซึ่งก็ยังเป็นไปแบบเดิม แต่เปลี่ยนเป็นแลกกับชิ้นส่วนเยเกอร์แทน และก็เป็นที่มาของชื่อภาค The Black สงครามอสูรเหล็ก สมรภูมิมืด นี้ด้วย ซึ่งส่วนนี้เป็นพล็อตรองเสริมมาอีกทีว่ามีตัวร้ายเป็นคนรวมอยู่ในเรื่องด้วย และก็มีนางเอกเป็นตัวละครที่เกี่ยวข้องกับพวกนี้ ซึ่งหน้าตานี่ถอดแบบเรย์ของอีวานแกเลี่ยนมาเลยแต่ขื่อ เม ซึ่งตัวละครในเรื่องนี้รวมๆ ค่อนข้างหน้าตาโหลแบบถอดแบบมาจากโปรแกรมสร้างแอนิเมชั่น 3D ของ Netflix เลย ถ้าไม่ใช่คนดูบ่อยๆ ก็อาจจะไม่ติดใจมาก แต่ถ้าเคยดูมาจะรู้สึกตะหงิดๆ ตลอดเลยว่าทำไมไม่เปลี่ยนบล็อกหน้าตากันบ้างถึงซ้ำๆ กันขนาดนี้หลายเรื่อง จนดูไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเลย  สงครามอสูรเหล็ก สมรภูมิมืด ss2

 

งานสร้างแอนิเมชั่นเรื่องนี้อยู่ภายใต้สตูดิโอ Polygon Pictures ซึ่งก็มีผลงานจาก Godzilla: Planet of the Monsters (2017) ที่ทำเป็นไตรภาคลงโรง แอนิเมชั่นถือว่าไม่มีอะไรเสียหาย ดูลื่นไหลแบบอนิเมะ 3D ปกติ ไม่ใช่งานทุนต่ำ แต่งานออกแบบไคจูในเรื่องออกจะดูซ้ำๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ฝ่ายเยเกอร์มีหุ่นแค่ 2 ตัว แต่ยังไงดูแล้ว Netflix ก็คงตั้งเป้าให้เป็นแฟรนไชนส์อนิเมะใหม่ที่ดังไปทั่วโลก ซึ่งก็คงได้ทำต่อจนจบ แม้บทจะไม่ได้ดีมากก็ตามครับ   สงครามอสูรเหล็ก สมรภูมิมืด พากย์ไทย

 

 

 

รีวิว สงครามอสูรเหล็ก: สมรภูมิมืด สรุปภาพรวม

 

รีวิว สงครามอสูรเหล็ก: สมรภูมิมืด  ทั้งภาพแอนิเมชัน เนื้อเรื่อง และตัวละคร ทุกอย่างดูลงตัว มีฉากต่อสู้แทรกมาระหว่างเรื่องอยู่ตลอดมีชนะบ้างแพ้บ้าง เสียงพากย์ก็ยังคงงานคุณภาพของ Netflix มีตัวละครใหม่ไม่จำเจ ระดับความยากของไคจูก็พอตัว ส่วนคนที่ไม่เคยดูก็สามารถดูได้เพราะเนื้อเรื่องไม่ได้ต่อเนื่องกับภาคที่เป็นภาพยนตร์ซะทีเดียว ยังพอมีความเชื่อมต่อในตอนท้ายๆ รับรองว่าดูรู้เรื่องแน่นอน แต่แอบเสียดายตรงที่มีจำนวนตอนน้อยไปหน่อย ใช้เวลาดูไม่เกิน 4 ชั่วโมงรวดเดียวก็จบซีซั่นแล้ว แต่อย่าพึ่งเสียใจไปเพราะอีกไม่นานคาดว่าซีซั่น 2 กำลังจะมาแล้ว ทุกคนรอติดตามกันได้เลยสงครามอสูรเหล็ก: สมรภูมิมืด ภาค 3

 

ความพยายามปลุกชีพแปซิฟิคริมกลับมาอีกครั้ง แต่มาในรูปอนิเมะ ซึ่งถ้าเป็นแฟนแปซิฟิคริมก็คงต้องดูต่อ (เพราะไม่มีหนังให้ดูแล้ว) อยู่ในเกณฑ์แค่พอดูได้ อย่าหวังอะไรมาก แต่ถ้าไม่ใช่แฟนก็ข้ามไปได้เลย เพราะเรื่องแม้จะพยายามเชื่อมต่อกับหนังภาคแรก แต่สุดท้ายก็กลายเป็นออกทะเลเลอะเทอะมากในตอนจบ

 

จุดเด่น – จุดด้อย 

 

จุดเด่น

 

เนื้อเรื่องมีส่วนเชื่อมต่อกับภาคแรกตรงๆ

เส้นเรื่องใหม่เกิดที่ออสเตรเลีย ไคจูโผล่จากรอบแยกบนแผ่นดินแทนใต้ทะเล

ฉากประสานและต่อสู้ในแบบแปซิฟิกริมที่ยังพอให้แฟนเรื่องนี้คิดถึงได้

มีเสียงพากย์ไทย

 

 

จุดด้อย

 

มีส่วนโม้แบบการ์ตูนญี่ปุ่นไม่มีเหตุผลรองรับดีพอยัดเข้ามามากไป

ขาดดนตรีประกอบดั้งเดิมของภาคแรก

ตัวละครหน้าตาโหลจากโปรแกรม 3D แบบไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

ตอนจบกับเหตุผลที่เรื่องให้ไว้พาออกทะเลไปไกลมาก

งานออกแบบไคจูไม่มีอะไรโดดเด่น

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *