รีวิว Despicable Me 3
ภาพยนตร์แอนิเมชั่นบางเรื่องนี่สร้างรายได้และเสียงตอบรับที่ดีจนมีภาคต่อและภาคแยกซึ่งต่างก็ทำรายได้สูงเรื่อยมา อย่างเรื่องนี้ที่มีภาคที่สามมาให้เราได้เสพกันในปีนี้ ‘Despicable Me 3’ หรือในชื่อไทย ‘มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด 3’ เรื่องราวของกรู วายร้ายที่กลายมาเป็นสายสืบพร้อมมีลูกสมุนจอมขโมยซีนอย่างเหล่าเจ้าตัวเหลือง มินเนี่ยน!
ตัวผู้กำกับคู่ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย เมื่อ Pierre Coffin ยังคงนั่งกำกับเหมือนเดิม แต่มีคนใหม่อย่าง Kyle Balda มานั่งกำกับร่วม เรื่องราวของทีมตัวละครชุดเดิม…
รู้จักกับ Despicable me 3 มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด 3
เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นภาคต่อของ Despicable me 1 และ 2
ภาคที่แล้วกรูได้หันมาเป็นสายลับร่วมกับลูซี่ ในภาคนี้เขาต้องตามจับตัวร้ายตัวใหม่ที่มีนามว่า บัลธาซาร์ แบรตต์ แต่ดันผิดพลาดจับไม่ได้ซะอย่างนั้น เลยถูกเตะโด่งออกจากการเป็นสายลับ แถมยังมีตัวละครใหม่อย่างดรู ซึ่งเป็นฝาแฝดของกรูปรากฏตัวขึ้นอีกด้วย กำกับโดย Kyle Balda และ Pierre Coffin พากย์เสียงโดย Kristen Wiig, Steve Carell และTrey Parker
เข้าฉายวันที่ 15 มิถุนายน 2560 ความยาว 90 นาทีอนิเมะออนไลน
เรื่องย่อหนัง Despicable Me 3 รีวิว Despicable Me 3
โลกของกรู (Steve Carell) ดูเหมือนจะกลายเป็นบ้านคนดีไปแล้ว เมื่อเขากลายเป็นสายลับที่ทำงานให้กับหน่วย AVL (Anti-Villain League) แต่เพียงเพราะเขาไม่สามารถตามจับ บัลธาซาร์ แบร็ตต์ (Trey Parker) วายร้ายในจอทีวีที่กลายเป็นมาเป็นวายร้ายนอกจอผู้ขโมยเพชรเม็ดเป้งไปได้ ทำให้เขาถูกไล่ออกจากหน่วย
และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาเป็นวายร้าย..อีกครั้ง
พอดิบพอดีกับที่มีตาแก่คาบข่าวมาบอกกรูว่า เขายังมีน้องชายฝาแฝดที่เขาไม่เคยรู้อยู่อีกคน ดรู (ก็ Steve Carell อีกนั่นแหละ) น้องชายผู้ร่ำรวยอู้ฟู่ที่เฝ้าติดตามพี่ชายด้วยความภาคภูมิใจ หวังให้เขากลับมาร้ายอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าวันนี้ เรารู้สึกโตขึ้นหรือเอาความเป็นผู้ใหญ่เดินเข้าโรงหนังหรือว่าอย่างไร เหตุใดเราจึงได้พบว่า ‘มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด 3’ จึงดูดร็อปความสนุกลงไปจากสองภาคก่อนอย่างน่าใจหาย
เริ่มด้วยการบอกเล่าที่มาที่ไปของวายร้ายแบร็ตต์ที่เราไม่ถือสาอะไร ยอมรับในความเป็นแอนิเมชั่นสำหรับเด็ก และเมื่อมันหันมาเล่าเรื่องการปะทะของกรู วายร้ายกลับตัวผู้มีหัวที่ล้านเลี่ยน กับวายร้ายแบร็ตต์ เราก็ว่าหนังยังทำได้ดี พอจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาบ้าง ยังถือว่าไม่เลว
แต่หลังจากหนังเริ่มพาเราไปทำความรู้จักกับตัวละครฝาแฝดของดรู หลังจากนั้น ทุกอย่างก็ดำดิ่งลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ในระหว่างชม ‘มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด 3’ ได้ยินเสียงรอบข้างขำกันคิกคักกับเจ้าพวกตัวป่วนมินเนี่ยนในหนัง มันช่างน่ารักจริงๆ แม้ว่าจะฟังมันพูดไม่รู้เรื่อง แต่ก็คงต้องยอมรับไปตามตรง แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่า ช่วงระยะเวลา 90 นาทีของแอนิเมชั่นเรื่องนี้
มีช็อตที่รู้สึกว่า ‘น่ารักอะ’ อยู่บ้าง และมีช็อตที่ผมจะออกอาการ ‘ขำ’ อยู่เพียงไม่มีจุด ส่วนช็อตที่ฮาก๊ากนั้นปรากฏว่า ‘ไม่มีเลย’ ไม่รู้ว่าตัวเองมันชักจะแก่แล้วหรืออย่างไร
ทั้งๆ ที่ภาคแรกๆ ก็ฮาจนน้ำตาเล็ดกันเลยทีเดียวนะ
ในฐานะแฟรนไชส์อนิเมชั่นทำเงินของ อิลลูมิเนชั่น สตูดิโอ ลูกหม้อของ ยูนิเวอร์แซล การกลับมาครั้งที่ 3 ของ กรูและเหล่ามินเนี่ยนจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกสบประมาทในฐานะการ์ตูนป็อบคอร์นภาคต่อฉาบฉวย แต่ผู้สร้างก็เซอร์ไพร์สคนดูด้วยบทภาพยนตร์ที่วางมาอย่างรัดกุม ไม่ปล่อยให้กลายเป็น เดอะมินเนี่ยนโชว์เหมือน Despicable Me 2 โดยไอเดียสำคัญคือการหยิบประเด็น ดาราเด็กที่ถูกหลงลืมเมื่อโตขึ้นมา เปรียบเทียบกับ ผลกระทบจากการตัดสินใจของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กได้ค่อนข้างคมคาย ทั้งประเด็นที่มาของ บัลธาซาร์ แบรตต์ อดีตดาราซีรีส์เด็กวายร้ายในยุค 80 ที่รายการถูกยกเลิกเพราะเขาเสียงแตก จนเกิดรับไม่ได้เมื่อตัวเองถูกผู้ใหญ่ตัดหางปล่อยวัด เกิดความคับแค้นจนต้องเป็นวายร้าย ซึ่งทำให้คนดูนึกถึงดาราเด็กอย่าง แมคคอร์ลี่ คัลกิ้น จาก โดดเดี่ยวผู้น่ารัก หรือฮาร์ลี่ย์ โจเอล ออสเมนต์ จาก The Sixth Sense ที่วันเวลาค่อยๆ กลืนกินชื่อเสียงและไม่ได้รับโอกาสเหมือนตอนยังเป็นเด็กอีกต่อไป
ซึ่งสามารถสะท้อนได้ถึงผลกระทบจากการตัดสินใจของผู้ใหญ่ที่ส่งผลต่ออนาคตของเด็กคนหนึ่งมาเปรียบเทียบกับเรื่องที่พ่อแม่ของ กรู แยกทางกันจนพี่น้องต้องพลัดพราก แถม ดรู ยังไม่เคยทำให้พ่อภูมิใจในฐานะทายาทวายร้ายได้เลยสักครั้งจนต้องขอให้ กรู มาช่วยชี้ทางสู่การเป็นวายร้ายเพื่อสานต่อมรดกของครอบครัว ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของทีมเขียนบทภาพยนตร์ที่นำเหตุการณ์และประสบการณ์ร่วมของปัญหาครอบครัวที่เด็ก ต้องแบกทั้งความคาดหวังของผู้ใหญ่ และ ทักษะในการรับมือกับความล้มเหลว มาดัดแปลงและตีแผ่จนเกิดข้อคิดดีๆที่เหล่าคุณพ่อคุณแม่นำไปปรับใช้ในการเลี้ยงลูกได้เป็นอย่างดีซึ่งขอแนะนำฉากที่ แอ็กเนส อยากตามหายูนิคอร์น และ กรู พยายามสอนให้เธอรับมือกับความผิดหวังไว้แต่เนิ่นๆ ซึ่งหนังนำเสนอได้อย่างน่ารักและซาบซึ้งเลยทีเดียว
ตัวละคร
มินเนี่ยนก็ยังคงเป็นมินเนี่ยน
เหมาะเป็นลูกกระจ๊อกที่สุดในโลกละ ไม่มีอะไรมาแทนที่พวกเธอได้ เป็นกลุ่มตัวละครที่เด๋อมากอ่ะ คือทำทำอะไรก็ดูเด๋อไปหมด ทำหน้าเข้มๆยังเด๋อเล้ยยยย แล้วก็ภาคนี้มีเมลเป็นหัวโจกของเหล่ามินเนี่ยน เป็นตัวการที่ทำให้ต้องไประหกระเหิน จุดที่ชอบที่สุดคือมีช่วงเวลาที่มินเนี่ยนร้องเพลง ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องว่าร้องว่าอะไร แต่อินเนอร์นี่จัดเต็ม ที่รู้ๆ คือพวกเด๋อไม่ได้ร้องแค่บานาน่าแล้วนะฮะ โปรดักส์ชั่นตอนร้องเพลงนี่ยิ่งใหญ่จริงๆ ใครที่อยากฟังเจ้าตัวเหลืองร้องเพลงละก็ อย่าได้พลาดเป็นอันขาด
บัลธาซาร์ แบรตต์ (Balthazar Bratt)
เป็นวายร้ายที่ชอบอะไรในยุค 80 แล้วก็รักในเสียงเพลงสุดๆ คือเวลาที่จะไปก่อการร้ายไรงี้นางชอบเปิดเพลงละเต้นจ้าา ซึ่งแน่นอนว่าก็เป็นเพลงยุค 80 สำหรับเรา ‘แบรตต์’ เป็นวายร้ายที่เก่งกาจตัวนึงเลย ที่สำคัญคืออาวุธอย่างเจ๋ง คือ คิดไม่ถึงโคตรๆ ว่าจะเอาอุปกรณ์แบบนี้มาเป็นอาวุธได้ อย่าง รูบิค หรือ โยโย่ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าของเล่นจะมาทำเป้นอาวุธได้ยังไง
สาวน้อย 3 คนที่ทำให้แอนิเมชั่นเรื่องนี้สดใสยิ่งขึ้น
เรื่องนี้ถ้าขนาดเด็กน้อย 3 คนนี้ไปคงเหงาแย่ ภาคนี้ก็ยังทำให้เราหลงรักตัวละครได้เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะมีคาแรคเตอร์ที่ต่างกัน แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก โดยเฉพาะ แอ็คเนส โอ้ยยย หนูลูก น่ารักมาก อยากได้มาเป็นลูก ฮืออออ มีการตามหายูนิคอร์นด้วยนะ แต่จะเจอไหม ก็ไม่รู้สินะ
ผู้ให้เสียงเบื้องหลังความสนุก
และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือเหล่านักพากย์ซึ่ง สตีฟ คาเรลล์ ที่พากย์ทั้ง กรู และ ดรู แบบไม่หลุดคาแรกเตอร์ และ คริสเตน วิกก์ ดาราตลกที่สวยทั้งหน้าและเสียง ก็ยังคงพากย์ได้อย่างมีสีสันเช่นเคย รวมถึงหน้าใหม่แต่เก๋าประสบการณ์อย่าง เทรย์ ปาร์คเกอร์ ที่เคยพากย์อนิเมชั่นห่ามๆอย่าง South Park และ Team America : World Police มาให้เสียงตัวร้ายอย่าง บัลธาซาร์ แบรตต์ ได้อย่างมีเสน่ห์ (ตัวละครยืมนามสกุลมาจากเบนจามิน แบรตต์ ผู้ให้เสียง เอลมาโช่ ตัวร้ายในภาค 2) ส่วน แอ็กเนส ในภาคนี้เปลี่ยนคนพากย์จาก เอลซี ฟิชเชอร์ มาเป็น เนฟ สกาเรล ที่ให้เสียงได้อย่างน่ารักน่าหยิกแถมได้โชว์แง่มุมตัวละครที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย
สรุป Despicable me 3 มิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด 3
เอาไปเลย 9/10 คะแนน ดูอนิเมะออนไลน์
เป็นหนังที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัยมาก สร้างความสนุกและเสียงหัวเราะตลอดทั้งเรื่องจริงๆ
ชอบอุปกรณ์ทุกอย่างในเรื่อง ไอเดียดีมาก สามารถดึงสิ่งของเล็กๆน้อยๆ มาใช้ได้อย่างที่เรานึกไม่ถึง
ดำเนินเรื่องรวดเร็ว ตลอดเวลา 90 นาที คือไม่เบื่อเลย มุกตลกก็ใส่มาได้ตรงจังหวะ แบบขำทุกมุกอ่ะ
เป็นหนังที่ไม่มีพิษมีภัยเลยยยยยย ขำไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที อ้าวจบแล้ว ดูจนลืมเวลาจริงๆ