รีวิว HELLO WORLD เธอ.ฉัน.โลก.เรา
HELLO WORLD เธอ.ฉัน.โลก.เรา เป็นผลงานภาพยนตร์อนิเมชั่นแนวไซไฟโรแมนติกดราม่า ที่เหมือนจะกลายเป็นอะไรที่เฝือสำหรับคนที่เพิ่งจะได้สัมผัสงานของมาโกโตะ ชิงไก ทั้งลักษณะตัวอย่างที่ตัดออกมา ทั้งท่าทางตัวละครที่หลายคนมองว่ามันไม่ดีเอาซะเลย แต่ว่าในเมื่อเรื่องนี้ โทโมฮิโกะ อิโต้ จาก Sword Art Online Movie: Ordinal Scale มันก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว โดยงานนี้ต้องบอกก่อนเลยว่า มีคนไทยร่วมทำด้วย ใครได้ไปดูจนจบเครดิต ก็หาชื่อให้เจอนะครับ555 ใครที่อยากทราบเกร็ดเพิ่มเติม อ่าน ที่นี่ ก่อนได้ ส่วน 3D ก็จัดเต็มโดยเอนจิ้น UNITY ที่เกมเมอร์ทั้งหลายรู้จักดี เพราะเกมสมัยนี้ผ่านเอนจิ้นนี้มาหมดแล้วทั้งนั้น เมื่อมันมาสู่หนังใหญ่มันจะออกมาเป็นยังไง แล้วเรื่องราวของความรักนี้มันพิเศษกว่าเรื่องอื่นยังไง มาอ่านเรื่องย่อกันก่อน
รีวิว HELLO WORLD เธอ.ฉัน.โลก.เรา เรื่องย่อ
“ปี 2027 ณ เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น วันหนึ่งของ นาโอมิ คาตางากิ เด็กหนุ่มม.ปลายธรรมดาที่ไม่กล้าทำอะไร วัน ๆ เอาแต่อ่านหนังสือและหวังว่าชีวิตของตัวเองจะมีความหมายมากกว่าการกลืนไปกับสังคม ทว่าจู่ ๆ ก็ดันมีตัวเองจากในอนาคตมาบอกว่าเขาจะต้องเป็นแฟนกับ อิจิเกียว รูริ เพื่อนร่วมชั้น ผู้ไม่เข้าสังคม และดูเป็นคนน่ากลัวจนเขายังไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ ทำให้หัวใจเขาเปลี่ยนใจ แต่มันกลับมาพร้อมความจริงอันน่าตกใจว่า อีกสามเดือนข้างหน้า รูริ จะต้องตายโดยเหตุการณ์ประหลาด และมีเพียงแค่นาโอมิ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะหยุดเหตุการณ์นี้ได้ แต่ทว่านาโอมิไม่ได้ตระหนักเลยว่า ทุกสิ่ง มีราคาต้องจ่าย โลกของเขาเอง…”
ความรู้สึกหลังดู
การเล่าเรื่องเป็นไปอย่างรวบรัด ไม่ค่อยทิ้งจังหวะยืดเยื้อหรืออะไรที่เสียเวลา แต่จะมีอะไรที่เราจะสงสัย หรืองงงวยในตอนแรกซึ่งไม่ต้องตกใจ เพราะหนังจงใจให้ผู้ชมรู้สึกแบบเดียวกับตัวละคร เหตุการณ์แต่ล่ะอย่างที่ถูกรังสรรค์ไว้ไม่ให้ซับซ้อน ทำให้ในแง่ของมุมมองตัวละครจะค่อนข้างแคบไปสักหน่อย แต่แม้จะเป็นยังงั้น หนังก็ยังทำหน้าที่ในการพาคนดูค่อย ๆ ไปสัมผัสชีวิตประจำวันของตัวละคร และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก่อนจะโยนเหตุการณ์ที่เรียกว่า “คาดเดาไม่ได้” ใส่เป็นระยะ ๆ เรียกได้ว่าดูไปเรื่อย ๆ ยังไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังมันจะมาอยู่ในสถานการณ์ตอนนั้นได้
แต่นอกจากสามตัวละครหลักในโปสเตอร์อย่าง อย่าง นาโอมิ ที่ตอนแรกมาเป็นตัวละครแนวผู้ชายธรรมดา แต่ก็ถูกเล่าไม่ให้ซ้ำซากจนเกินไป รูริที่ออกมาโปรยเสน่ห์ความน่ารักให้ใครหลายคนได้อมยิ้ม มีติดตลกหน่อย ๆ หรือเซนเซย์ ตัวนาโอมิจากอนาคตในสิบปีที่เป็นตัวละครผู้ใหญ่ที่สุดในเรื่องแล้ว ก็ไม่มีตัวละครไหนที่น่าจดจำเลย ตัวละครค่อนข้างจะแบน ออกมาเพื่อเป็นแบบนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้มีส่วนอะไรกับเนื้อเรื่องโดยเฉพาะบทของ มิเรอิ คาเดโนะโคจิ ที่ออกมาแจกความสดใส ไม่ได้มีอะไรเลย แต่ก็ทำให้เรื่องราวไปข้างหน้า โดยไม่ต้องสำรวจอะไรมากมาย ฉะนั้นแล้วเนื้อเรื่องจึงไม่มีการหยุดพักหรือมีฉากเนือยเลยสักฉาก (ในความคิดผม) เพราะงั้นขอแนะนำให้อย่าละสายตาแม้แต่ฉากเดียวดีกว่า ไม่งั้นอาจจะงงได้
ไม่เทียบกับงานอนิเมชั่นอื่น ๆ ที่ผ่านมาแล้ว ต้องบอกว่างานภาพของเรื่องโดดเด่นขึ้นมากว่าปกตินิดหน่อย เพราะในช่วงแรกของหนัง การเคลื่อนไหวของตัวละครจะค่อนข้างแปลก ๆ เรียกได้ว่าโดดจากทัศนียภาพของฉากที่ธรรมชาติดูจะเนียนกว่า เลยก็ว่าได้ แต่เหมือนพอปรับสายตา หรือ เข้าเนื้อเรื่องได้แล้วก็จะชินเอง งานสิ่งก่อสร้าง ตึกรามบ้านช่องสวยงาม แต่ดูโดด ๆ เพราะงานนี้เป็นงานที่ผสมผสานความเป็นอนิเมชั่นแบบ 2D ที่ออกมากับ 3D จากการโปรแกรมที่พอออกมาในแต่ละฉากก็ว้าวใช้ได้ ไหนจะฉากที่เต็มไปด้วยแสงสีก็ทำออกมาได้อย่างน่าพิศวงและอัศจรรย์ เพราะเหมือนเอางานเก่าของผู้กำกับมาต่อยอดให้มีความจัดเต็ม เล่นใหญ่ขึ้น แต่ภาพก็ยังเคลื่อนไหวแปลก ๆ อยู่ดี ซึ่งในช่วงหนึ่งของหนังมันจะค่อนข้างกระตุก ๆ แบบงานที่เหมือนอยู่ผิดฝั่งไม่ค่อยกลมกลืนกับภาพ แต่ตอนนั้นชินแล้ว เลยไม่มีปัญหาอะไรมาก
เรียกได้ว่าเตรียมใจไปฟังเพลงประกอบภาพยนตร์เลยก็ว่าได้ เพราะเห็นโปรโมททีมประพันธ์เพลงอย่าง 2027 Sound ที่ได้หยิบเอาวงดนตรี นักร้องมือฉมัง (ที่กำลังมีชื่อเสียง) มาร่วมกันทำให้หนังเรื่องนี้ ฟังไปเหมือนจะดีแต่เมื่อมันมาถูกเล่นในหนังมันกลับผิดจังหวะ และไม่ค่อยช่วยเสริมหนังเลย ใช่เพลงเพราะ ดนตรีดี แต่บางฉากตัวละครพูดมันกลับไม่สม่ำเสมอกับตัวละคร เราไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ได้เลย หรือแม้แต่เพลงชูหลักสามเพลงก็ไม่ได้ช่วยขับเคลื่อนหนังได้ดีเท่าที่ควร แม้เพลงมันจะมีจังหวะหรือเนื้อหาเข้ากับหนังมากแค่ไหนก็ตาม
โดยเฉพาะเพลง Yesterday ของวง Official髭男dism ที่ตอนฟังรู้สึกอินมาก ๆ แต่กลับถูกใช้ในฉากธรรมดาที่ไม่มีผลกับเนื้อเรื่องอย่างน่าเศร้าใจ ทั้ง ๆ ที่เพลงเอื้อให้หนังเล่นอะไรได้เยอะกว่านี้มาก ทว่าในช่วงสุดท้ายของเรื่องเพลงกลับเด่นมาก เด่นจน น่าประหลาดใจ ยิ่งเพลง Lost Game ของ Nulbarich ในฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องคือ กลับมาได้อย่างงดงามพร้อมกับเพลงประกอบเอนเครดิตอย่าง Shinsekai (New World) โดยวง OKAMOTO’S ที่มงคลทำดีมากที่มีซับไทยให้เป็นเพลงสุดท้าย –
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่ามีความทะเยอทะยานต่อประเด็นในเรื่องมาก “โลก” ในหนังเรื่องนี้ถูกใช้ทั้งในนามธรรมและรูปธรรม สำหรับเรา คน ๆ หนึ่งที่เรารัก อาจเป็นโลกทั้งใบที่เราไม่อยากปล่อยให้มันหายไป หรือแม้แต่โลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้มันเป็นสิ่งที่เรายอมรับได้หรือไม่ แล้วเราจะพยายามทำมันให้ดีแค่ไหนหรือแม้แต่ความรักที่ต้องมีความรู้สึกเดียวกัน ถึงจะไปกันรอด ความรักมันผลักดันคนเราให้ไปได้ไกลเหมือนกับตัวละครในเรื่องจริง ๆ
หยิบจับองค์ประกอบไซไฟ ทั้งเทคโนโลยี และวิทยาการที่ไม่สามารถพูดถึงได้ เพราะจะเป็นการสปอยล์ มันคือการหยิบเอา ตอนใดตอนหนึ่งของ Black Mirror มาผสมกับ Inception เทความเป็นอนิเมชั่นแบบญี่ปุ่นลงไป ก็คือเรื่องนี้เนี่ยแหล่ะ แต่หนังก็ไม่ได้จะทะเยอทะยานจนต้องปีนบันไดดู เพราะหนังค่อนข้างจะมีคำอธิบายที่ชัดเจน แต่มีบางอย่างที่ต้องใช้ความรู้ และจุดสังเกตให้ดี ๆ มันอาจจะไม่ได้ถึงขั้นข้ามจักรวาลอะไรขนาดนั้น แต่ใกล้เคียงอยู่พอสมควร ที่ดูจบแล้วอาจต้องคิดตาม แต่ถ้าชมภาพยนตร์ไซไฟมาเยอะ ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ผมว่ามาน่าจะเข้าใจดี
ภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างจะเน้นปรัชญาความรักผสมผสานกับไซไฟแต่ถูกเล่าออกมาในแบบ Coming of Age ที่เข้าใจได้ไม่ซับซ้อน แต่เพราะมีการเล่าเรื่องที่รวบรัด ฉับไว ทำให้จูนหนังยากไปนิด แต่ถ้าดูจนจบน้ำตาอาจไหลออกมาไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะการขยี้ประเด็นจริง ๆ ก็คือช่วงท้าย ๆ ของเรื่อง เป็นภาพยนตร์ที่ไซไฟจ๋าแต่ฉาบด้วยเรื่องราวแบบอนิเมชั่นญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่เปี่ยมด้วยฉากสุดโรแมนติก กินใจ และซาบซึ้ง แอบมีมุกตลกพอขำ ๆ นิด
ซึ่งถือว่าผู้กำกับ โทโมฮิโกะ อิโต้ สามารถสร้างความแปลกใหม่ทั้งงานภาพผสมผสาน และเนื้อเรื่องที่สุดจะทะเยอทะยานให้ออกมาเป็นโลกที่ผู้ชมสามารถพอจะเข้าไปอยู่ในนั้นได้พอสมควร อาจจะมีปัญหาในส่วนของเพลงที่ออกมาด้อยกว่าที่ควรอย่างน่าเสียดาย แต่ก็เป็นงานที่น่าจับตามองไม่แพ้กับภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องอื่นเลยครับ
ยอมรับว่าเข้าไปดู Hello World แบบแทบไม่มีข้อมูลอะไรเลย แม้แต่เรื่องย่อก็ไม่ได้อ่านเข้าไป เดชะบุญ..ที่บทหนังสามารถลำดับเรื่องราวให้เราเข้าใจโลกในหนังได้อย่างไม่ยากเย็นเกินไปนัก และพอรู้ว่าหนังเป็นงานออริจินัลอนิเมะเรื่องแรกของ โทโมฮิโกะ อิโต ผู้กำกับ Sword Art Online ก็ถึงบางอ้อว่าทำไมหนังถึงมีความเป็นไซไฟสูงขนาดนี้
โดยคอนเซ็ปต์ อัลทาลา แล้วก็ไม่ได้หนีจาก The Matrix ที่คอหนังไซไฟปรัชญารู้จักนัก โดยนำเสนอว่าโลกที่ตัวละครอาศัยอยู่เป็นเพียงข้อมูลในอดีตที่เซิร์ฟเวอร์เก็บไว้ แต่ Hello World ยืนพื้นตัวเองที่แนวโรแมนติกผสมไซไฟและแฟนตาซีแบบอนิเมะญี่ปุ่น เลยกลายเป็นว่าเควส9Nหลักของนาโอมิ ก็เลยมีแต่ต้องช่วย อิจิเคียว ให้รอดพ้นจากความตายให้ได้ ซึ่งก็ถือว่ามาสานต่อเอาใจคออนิเมะที่เพิ่งอินกับ Weathering with you ของ มาโกโตะ ชินไค ให้ได้ฟินอย่างต่อเนื่อง
จุดเด่น
เนื้อเรื่องที่ผสมผสานไซไฟ และ โรแมนติกอย่างลงตัว
คาดเดาเนื้อเรื่องแทบไม่ได้
ความสัมพันธ์ของตัวละครที่ซาบซึ้ง และกินใจ
เพลงประกอบภาพยนตร์ในฉากเพราะ
ซาบซึ้ง และกินใจ
จุดด้อย
เพลงประกอบผิดที่ผิดทาง ทำให้เข้าถึงอารมณ์ไม่ได้พอ
เนื้อหาซับซ้อน และรวดเร็วในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจตามไม่ทัน
งานภาพยังไม่ลงตัวในบางช่วง
ตัวละครนอกจากตัวเอกค่อนข้างแบนรา